สำนวนที่เกิดจากอุบัติเหตุ
1. จี้เส้น
ความหมาย พูดหรือทำให้ผู้ดูผู้ฟังขบขันหัวเราะ
เช่น ตลกจี้เส้น เป็นสำนวนใหม่พวกเดียวกันนี้ยังมี “เส้นตื้น” คือคนที่หัวเราะง่ายก็ว่าคนนั้นเส้นตื้น
2. ใจดีสู้เสือ
ความหมาย ทำใจให้เป็นปกติเผชิญกับสิ่งที่น่าหลัว
ตัวอย่าง
“เราก็หมายมาดว่าชาติเชื้อ
ถึงปะเสือก็จะสู้ดูสักหน”
พระอภัยมณี
3. ดากแล้วมิหนำเป็นซ้ำเป็นสองดาก
ความหมาย มีเรื่องลำบากเกิดขึ้นหับตัว
แล้วมีเรื่องลำบากเกิดขึ้นอีกซ้ำอีก ทำให้ลำบากมากขึ้น
ความเป็นมา มีนิยายเล่าว่า ยายแก่คนหนึ่ง
เป็นโรคดาก วันหนึ่งออกไปส้วม ผีเด็กเห็นเข้าก็ฉวยเอาไปเล่น
ยายแก่ดีใจที่หายจากโรคก็มาเล่าให้ยายแก่อีกคนหนึ่งฟัง แล้วก็ไปส้วมนั้น
ผีเด็กก็นำดากมาคืนที่เก่า แต่กลับโดนยายคนที่2 ทำให้ยายคนที่2เป็นดากมากขึ้นกว่าเดิม
4. ดาบสองคม
ความหมาย สิ่งที่เราทำลงไปอาจให้ผลทั้งทางดี
และทางร้ายได้
ความเป็นมา เปรียบเหมือนกับดาบ
ซึ่งถ้ามีคมทั้งสองข้างก็ย่อมเป็นประโยชน์ใช้ฟันได้คล่องแคล่วดี
แต่ในขณะที่ใช้คมข้างหนึ่งฟันลง คมอีกด้านหนึ่ง อาจโดนตัวเองเข้าได้
การทำอะไรที่อาจเกิดผลดีและร้ายได้เท่ากัน จึงเรียกว่า เป็นดาบสองคม
5. ดูตาม้าตาเรือ
ความหมาย พูดหรือทำอะไรก็ตาม
ให้ระมัดระวังพินิจพิเคราะห์ ว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้า ข้างหลังบ้าง ไม่ให้ซุ่มซ่าม
ความเป็นมา มาจากการเล่นหมากรุก
ซึ่งมีตัวหมากเรียกว่า “ม้า” และ “เรือ” ม้าเดินตามเฉียงทะแยงซึ่งทำให้สังเกตยาก
ส่วนเรือเดินตายาวไปได้สุดกระดานเวลาเดินหมากอาจจะเผลอ ไม่ทันสังเกตตาที่ม้าอีกฝ่ายหนึ่งเดิน
หรือไม่ทันเห็นเรืออีกฝ่ายหนึ่งที่อยู่ไกล
เดินหมากไปถูกตาที่ม้าหรือเรือฝ่ายตรงข้ามสกัดอยู่
ก็ต้องเสียตัวหมากของตนไปให้คุ่แข่ง การดูหมากต้อง “ดูตาม้าตาเรือ” ของฝ่ายตรงข้าม เลยนำสำนวนนี้มาพูดกันเมื่อเวลาจะพูดหรือทำอะไรก็ตาม
ให้ระมัดระวังพินิจพิเคราะห์ ว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้า ข้างหลังบ้าง ไม่ให้ซุ่มซ่าม
6. ตกกระไดพลอยโจน
ความหมาย พลอยประสมทำไปในเรื่องที่ผู้อื่นเป็นต้นเหตุก็ได้
หรือเป็นเรื่องของตนเอง ไม่เกี่ยวกับผู้อื่นก็ได้
ความเป็นมา เมื่อเห็นว่าจำเป็นต้องทำตามไป
สำนวนนี้มีความหมายเป็นสองทาง
ทางหนึ่งผู้หนึ่งผู้อื่นเป็นไปก่อนแล้วตัวเองพลอยตามเทียบตามคำในสำนวนก็คือว่า
เห็นคนอื่นตกกระไดตนเองก็พลอยโจนตาม อีกทางหนึ่งไม่เกี่ยวกับคนอื่น
ตนเองรู้สึกตนว่าถึงเวลาที่ตนเองจะต้องทำโดยที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
ก็เลยประสมทำไปเสียเลย เทียบกับคำในสำนวนเทียบกับว่าตนเองตกกระไดแต่ยังมีสติอยู่
ก็รีบโจนไปให้มีท่าทางไม่ปล่อยให้ตกไปอย่างไม่มีท่า
ตัวอย่าง ในเสภาขุนช้างขุนแผน
ตอนปลายงามเข้าหาศรีมาลา มีกลอนขุนแผนว่า
“งองามก็หลงงงงวย
ไม่ช่วยไปข้างหน้าจะว้าวุ่น
ตกกระไดพลอยโผนโจนตามบุญ ทำเป็นหุนหันโกรธเข้าพลอยงาม”
7. ตกหลุม
ความหมาย ใช้พูดเมื่อ หกล้มคว่ำลงไปกับพื้น
ความเป็นมา สำนวนนี้มาจากการจับกบ
ซึ่งรีบตะครุบไม่ทันให้กบกระโดดหนี พลาดท่าพลาดทางก็ล้มคว่ำลงไปกับพื้น
ใครคว่ำหน้าลงไปจึงพูดว่า “ตะครุบกบ” บางครั้งก็พูดว่า “จับกบ”
8. บ่อนแตก
ความหมาย ใช้พูดเมื่อ มีคนทำการชุมนุมกันมากๆ
หรือการมากินเลี้ยง เกิดเรื่องต้องทำให้หยุดชะงักเลิกไปกลางคัน
ความเป็นมา มาจากการติดบ่อนเล่นการพนัน
ซึ่งมีคนมาเล่นกันมาก ขณะการเล่นก็ต้องมีการหยุดชะงักต้องเลิกไปกลางคัน เรียกว่า
บ่อนแตก คำนี้เลยกลายมาเป็นสำนวน
9. ปราณีตีเอาเรือ
ความหมาย ช่วยด้วยความปราณี
แต่กลับต้องถูกประทุษร้ายตอบ
ตัวอย่าง
“เอออะไรมาเป็นเช่นนี้ ช่วยว่าให้ดีก็มิเอา
มุทะลุดุดันกันเหลือ
ปราณีตีเอาเรือเสียอีกเล่า”
สังข์ทอง พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 2
8.ปัดขาเก้าอี้
ความหมาย เจตนาหรือแกล้งทำให้ผู้ครองตำแหน่งหรือหน้าที่อันใด
ต้องเสียหรือพ้นจากตำแหน่งหน้าที่นั้นไป เก้าอี้ หมายถึง
เก้าอี้ที่สำหรับนั่งปฏิบัติงานประจำ ปัดเก้าอี้
คือไม่ได้นั่งปฏิบัติงานในตำแหน่งนี้อีก แล้ว
ตัวอย่าง
ในหนังสือนิพพานวังหน้า มีพระราชวิจารณ์ของรัชกาลที่ 5 ตอนหนึ่งว่า
“เมื่อรวบรวมความลงก็ไม่ผิดกับชาววังน่าชั้นหลัง
ๆ แลไม่ปองร้ายกันถึงจะหักกันลงข้างหนึ่ง เป็นแต่ประมูลอวดดีกันนินทากัน แตะตีนกัน
ซึ่งนับว่าเป็นแบบอันไม่ไห้ความเจริญแก่แผ่นดิน”
9. ผงเข้าตาตัวเอง
ความหมาย เมื่อเกิดปัญหาขึ้นกับตัวเอง หรือเกิดเรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเองแล้วตัวเองไม่สามารถแก้ไขได้
ความเป็นมา คนที่มีความรู้ความคิดดี มีสติ
ปัญญาเฉลียวฉลาด ทำอะไรให้ใคร ๆ สำเร็จลุล่วงไปได้ แต่พอมีปัญหาหรือมีเรื่องอะไร
เกิดขึ้นกับตัวเอง กลับหมดปัญญาที่จะแก้ไข
10 เผลอเรอกระเชอก้นรั่ว
ความหมาย เลินเล่อ
ไม่เอาใจใส่ระวังดูแลให้รอบคอบ
ความเป็นมา มูลของสำนวนมาจากนิทานโบราณ ใน
นนทุกปกรณัม เรื่องมีว่ามีพรานไปซุ่มช้อนปลากับภรรยา
ภรรยานั้นเป็นกาลกิณีกระเดียดกระเชอก้นรั่วตามสามี สามีช้อนได้ปลามาใส่กระเชอ
ภรรยาก็ไม่พิจารณา ปลาก็ลอดลงน้ำไป สามีไม่รู่ช้อนได้หลงใส่กระเชอไปเรื่อย ๆ
ปลาก็ลอดไปหมดไม่เหลือ ระหว่างนั้นมีภรรยานายสำเภา
เป็นหญิงดีมีสิรินั่งอยู่ท้ายเรือ เห็นปลาลอดลงน้ำก็ยิ้ม นายสำเภาเป็นกาลกิณี
เห็นนางดูนายพรานแล้วยิ้มเข้าใจว่านางพอใจ พรานก็โกรธ จะให้นางไปเป็นเมียพราน
ในที่สุดนายสำเภากับนายพรานก็ตกลงแลกเมียกัน เมียนายพรานมาอยู่กับนายสำเภา
ทำให้พรานเจริญขึ้นเป็นเสนาบดีของพระเจ้าแผ่นดิน แล้วต่อมาได้เป็นเจ้าพระยาแผ่นดิน
นั่นคือใครที่ทำอะไรเผลอเรอเลินเล่อทำอะไรไม่รอบคอบก็พูดกันว่า “เผลอเรอกระเชอก้นรั่ว”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น